Monday, July 15, 2013

พ่อคนนี้..นั้นมีแต่ให้ ( Kramer VS Kramer )












Good Night Sleep Tight - 

Don't Let The Bed Bug Bites...

I'll See You In The Morning Lights........ 

I LOVE YOU, BILLY!!!! 

I LOVE YOU, TOO MOMMY.....


Kramer VS Kramer หนังครอบครัวปี 1979 ที่ควรจะดูก่อนตาย ยอดเยี่ยม สุขสันต์ หรรษา ร้องไห้ หนังที่ทำให้โลกเห็นว่า ความรักและหน้าที่ของแม่ต่อลูกที่ว่ายิ่งใหญ่ ก็ไม่มีบัญญัติใดที่ระบุว่า "พ่อ" จะทำไม่ได้




หนังเปิดฉากด้วย Ted Kramer ซึ่งเป็น Art Director ของ New York Advertising กลับบ้านด้วยความตื่นเต้นเพื่อจะบอกข่าวดีกับภรรยา Joanna ถึงความสำเร็จในหน้าที่การงาน ซึ่งเท็ดบอกว่า "เป็น 1 ใน 5 วันที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา" จากที่ตั้งใจจะ Surprise ภรรยา เท็ดกลับโดนโจแอนน่าเซอร์ไพรส์ซะเอง ด้วยการบอกเลิก และเก็บกระเป๋าออกจากบ้าน ซ้ำร้ายยิ่งกว่าเขาทิ้งลูกชายตัวน้อยวัย 7 ขวบ Billy ไว้ให้เท็ดดูแล ด้วยเหตุผลว่า เธอเป็นแม่ที่แย่ ไม่มีความอดทน ตะคอกลูกตลอด ชีวิตลูกชายคงดีกว่านี้หากไม่มีเขา




"I am no good for him! I'm a terrible mother! 
I'm an awful mother. I yell at him all the time. 
I have no patience. No...No. He's better off without me"




เท็ดกลายเป็นคุณพ่อและคุณแม่แบบไม่ทันตั้งตัว เขาพยายามคิดว่าโจแอนน่าคงกลับมาในไม่ช้า แต่ก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงที่ว่าเธอไปแล้วจริงๆ เท็ดเลยต้องแบกภาระเลี้ยงดูบิลลี่ พร้อมกับภาระงานอันยิ่งใหญ่ที่เพิ่งได้รับข่าวดีมาเมื่อคืน ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะทำพร้อมกันได้ หนูน้อยบิลลี่ตื่นขึ้นมาและรู้ว่าแม่หายไป ทั้งที่สัญญาว่าจะไปส่งเขาที่โรงเรียน เขาถามพ่อว่าแม่จะมาเมื่อไหร่ ซึ่งเท็ดได้แค่ตอบว่า "เร็วๆ นี้" และเขาจะไปรับ ส่ง บิลลี่ที่โรงเรียนเอง 





เท็ดทั้งทุ่มเททำงาน และเลี้ยงดูบิลลี่ แต่เพียงลำพัง มันเป็นงานที่ยากเกินกว่าพ่อจะทำได้ แต่เท็ดก็พยายามเต็มที่ บางครั้งเขาทั้งดุ ด่า ลูก เพราะเครียดกับงาน และลืมไปว่าบิลลี่เป็นเพียงเด็ก ไร้เดียงสา สองพ่อลูกผูกพันธ์กันขึ้นทุกวันๆ เป็นความรักและห่วงใยของผู้ชายสองคนทีเชื่อมโยงเข้าหากันคนหนึ่งขาดภรรยาที่รักและอีกคนขาดแม่    พ่อลูกจึงเข้าใจซึ่งกันและกัน 

งานของเท็ดเริ่มลดประสิทธิภาพลงเรื่อยๆ เนื่องจากเขาต้องเป็นแม่และพ่อให้บิลลี่ เวลาที่ทุ่มเทให้กับงานเริ่มหายไป หัวหน้าเขาเริ่มเกิดความไม่เชื่อใจในความรับผิดชอบต่องานใหญ่ๆของเท็ด เพราะบ่อยครั้งที่เท็ดมาสายในการร่วมการประชุมสำคัญ บางครั้งก็ออกงานก่อนเวลา เพราะมีโทรศัพท์หาจากทางบ้่าน 




เท็ดพยายามประคับประคองหน้าที่หลักทั้งสองอย่าง ทั้งหน้าที่ความเป็นพ่อ และหน้าที่ความเป็นพนักงงานของเขา อย่างเต็มที่แต่บางครั้งมันก็หนักเกินไป เกินกว่าคนเพียงคนเดียวจะแบกรับไว้ไว้ได้ ในขณะที่หน้าที่การงานเริ่มลดถอยลง หน้าที่พ่อกลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น เท็ดเป็นพ่อที่ดี เลี้ยงดูบิลลี่ เพียงลำพังมาเกือบปีครึ่ง ซึ่งทำให้เขาและบิลลี่รักกัน ผูกพันธ์กันเกินกว่าที่เคยเป็นมา







ทุกอย่างเหมือนจะกำลังไปได้ดี จนกระทั่งวันหนึ่งโจแอนน่ากลับมา เธอไม่ได้กลับมาหาเท็ด แต่กลับมาเพื่อทวงสิทธิ์ความเป็น "แม่" คืน โจแอนน่า แอบมองบิลลี่ที่โรงเรียนอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ อยู่หลายวัน จนวันหนึ่งเธอได้โทรนัดเจอเท็ดเพื่อเจรจา



ทุกอย่างไม่เหมือนวันที่โจแอนน่าเดินจากมา วันที่เธอเดินจากเท็ด เท็ดถามเธอว่าทำไมไม่เอาบิลลี่ไปกับเธอด้วย แต่วันนี้เธอมาขอบิลลี่ไปอยู่กับเธอด้วย เท็ดกลับโมโหสุดชีวิตและไม่ยอมเด็ดขาด เพราะเขากับบิลลี่มีกันและกัน และผูกพันธ์กันเกินกว่าจะแยกจากกัน ถึงแม้ความรู้สึกของความเป็น "แม่" ของโจแอนน่า จะกลับหวนมา แต่ความเป็น "พ่อ" ของเท็ดก็พุ่งกระฉูด เมื่อต่างฝ่ายต่างต้องการบิลลี่และตกลงกันไม่ได้ เลยต้องพึ่งศาลมาเป็นผู้ตัดสิน



ความซวยของเท็ดเหมือนกำลังสาดเข้ามาเป็นพายุทอร์นาโด นอกจากเรื่องที่ต้องขึ้นศาลเพื่อปกป้องสิทธิ์ความเป็นพ่อแล้ว การถูกไล่ออกจากงาน ก็ยิ่งสร้างความกังวลใจให้เท็ด ทนายเขาอธิบายให้เห็นภาพว่าคดีแบบนี้ ส่วนใหญ่ผู้เป็นแม่มักชนะเสมอ มีโอกาสที่จะชนะน้อย ยิ่งเท็ดมาตกงานแบบนี้ ศาลยิ่งจะมองเห็นความไม่แน่นอนของบิลลี่ หากอยู่ในการดูแลของเท็ด 

เท็ดก้มหน้าก้มตาหางานภายใน 24 ชั่วโมงเพื่อให้ตัวเขาดูมีหลักมีฐาน เขายอมรับงานที่ได้เงินเดือนน้อยกว่าเดิม 5000$ ต่อปี ซึ่งต่อมากลายเป็นประเด็นที่ฝ่ายโจแอนน่าเล่นงานเขาในศาล เพราะตอนนี้โจแอนน่าทำงานและมีเงินเดือนมากกว่าเท็ด ช่วงเวลาในศาลเป็นฉากที่ทุกคนคงประทับใจ เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างแสดงความเป็นพ่อและแม่ออกมาสู้กัน ฝ่ายโจแอนน่าก็อ้างว่าเธอเป็นแม่บิลลี่มา 5 ปีครึ่ง ดูแลมาตลอด แต่เท็ดเพิ่งมารับหน้าที่นี้เพียง 18 เดือน ไหนเลยจะทำหน้าที่ได้ดีไปกว่าเธอ 


Constancy, patience, understanding ...
love. Where is it written that a man has any less of 
those qualities than a woman? 
Billy has a home with me, I've tried to make it the best I could. 
It's not perfect. I'm not a perfect parent. I don't have enough patience. 
Sometimes I forget he's just a little kid...
But I love him... More than anything in this world 
I love him. - Ted Kramer -


สุดท้ายศาลตัดสินให้โจแอนน่าผู้เป็นแม่ ได้สิทธิ์เลี้ยงดูบิลลี่ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลย เท็ดพาบิลลี่ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ เพื่อจะบอกว่านับ จากนี้ บิลลี่จะไปอยู่กับแม่ คนที่หนูน้อยถามถึงเสมอว่าเมื่อไหร่จะกลับ
บิลลี่ที่อยู่กับพ่อมาตลอก 18 เดือนที่ผ่านมา รู้สึกว่านั่นเป็นเวลาที่มีค่า และทำให้เขารู้ว่าพ่อรักเขาแค่ไหน และเขารักพ่อมากเพียงใด หนูน้อยถามพ่อว่า ห้องเขาจะอยู่ตรงไหน ใครจะอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน 
และที่ทำทุกคนร้องไห้คงเป็นฉากที่หนูน้อยถามเท็ดว่า.......
"ถ้าเขาไม่ชอบที่นั่น เขากลับบ้านมาหาพ่อได้ไหม" 


If I Don't Like It, Can I Come Home?

ฉากที่สองพ่อลูกนั่งอยู่ในห้องด้วยกันเพื่อรอ โจแอนน่าผู้เป็นแม่มารับ เป็นภาพที่ดูแล้วเจ็บปวด เท็ดและบิลลี่ นั่งเงียบทั้งที่ในใจนั้นอยากจะ
ร้องไห้ออกมาดังๆ 


เท็ดเขียนจดหมายถึงอดีตภรรยาเกี่ยวกับลูกชาย ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แพ้อาหารประเภทไหน และลงท้ายด้วยข้อความแสนประทับใจ

"I'm grateful for the time we've had together and 

I feel I am a better man because of my son...Ted."


ในที่สุดโจแอนน่าก็ตระหนักได้ว่า เขารักบิลลี่มากแค่ไหน และการที่พรากเขาไปจากพ่อที่เขารัก บ้่านของเขา ห้องนอนของเขา คงเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจลูก และเท็ด โจแอนน่ายอมเดินจากไปด้วยความโศกเศร้า เพราะเธอคือแม่ และแม่ย่อมยินดีเมื่อลูกมีความสุข ไม่ใช่พรากความสุขไปจากลูก 18 เดือนที่เธอกล้าเดินหายไป เธอได้นำพาความทุกข์มาสู่ลูก แต่เท็ดผู้เป็นพ่อก็พาลูกน้อยบิลลี่ฝ่าฟันมา จากทุกข์กลายเป็นสุข แล้วเธอจะทำลายมันหรือ...เธอคงไม่กล้าพออีกครั้งที่จะพรากบิลลี่ไปจากสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขา..นั่นคือ พ่อ..พ่อผู้มีแต่ให้

ดูแล้วไม่กลายเป็นหนังในดวงใจ...ก็ให้มันรู้ไป 




Monday, July 8, 2013

Comrades, Almost A Love Story..เถียนมีมี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว



หนังอีกเรื่องในดวงใจ ดูเมื่อไหร่ น้ำตาไหลเมื่อนั้น ดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อ


ช่วงนี้เชื่อเถอะว่า คนจีนมาเที่ยวที่เมืองไทยเยอะมาก เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองไปหมด ที่กรุงเทพเองก็แทบจะกลายเป็น China Town ไปทุกพื้นที่ ถ้าย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมานั้น คนจีนแผ่นดินใหญ่เองค่อนข้างมีความเป็นอยู่ที่ไม่สู้ดี ต้องปากัดตีนถีบ ทำงานจนสายตัวแทบขาด เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ การดูแลจากภาครัฐบาลจึงทั่วถึงยาก พอพูดถึงชีวิตคนจีนสมัยก่อนเชื่อว่าภาพยนต์เรื่อง "Comrades, Almost A Love Story " หรือชื่อไทยว่า "เถียนมีมี่ 3650 วัน รักเธอคนเดียว" ได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ยอดเยี่ยมใน 3 โลกจริงๆ ทุกเรื่องราวความเป็นอยู่ ความรัก วัฒนธรรม ผู้คน ความสับสน ไขว่คว้า ถูกเรียบเรียงออกมาอย่างประทับใจ ดูกีครั้งก็ยังตรึงใจ มีความสุข น้ำตาไหลได้ตลอด









หนังเรื่องนี้เปิดฉากวันที่ 1 มีนาคม 1986 บนรถไฟฟ้าที่มีจุดหมายปลายทางสู่ฮ่องกง ในตอนนั้น ฮ่องกงยังตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศอังกฤษ “หลีเสี่ยวจิน”กับ “หลี่เฉียว” เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่หวังว่าจะมาขุดทองที่ฮ่องกง จีนในสมัยนั้นเปรียบเหมือนอิสานบ้านเรา กว้างขวางแต่แร้นแค้น ผิดกับฮ่องกงซึ่งเล็กคับแคบแต่เจริญเหลือหลายคล้ายเมืองกรุง หลีเสี่ยวจินมาฮ่องกงเพื่อเก็บหอมรอมริบ เพื่อสักวันจาได้พาแฟนเสี่ยวถิงที่เมืองจีนมาแต่งงานด้วยที่ฮ่องกง


ชีวิตคนฮ่องกงนั้นค่อนข้างดี บ้านเมืองเจริญ ส่วนจีนนั้นแร้นแค้น ยากจน ไม่ทันสมัย คนฮ่องกงจึงภูมิใจในตัวเองและคิดว่าตัวเองเป็นชาติอังกฤษ ไม่ใช่จีน เหมือนบ้านเราที่เป็นคนกรุงเทพกับคนบ้านนอก หลี่เฉียวนั้นหาเงินทุกวิถีทาง และหลอกคนอื่นว่าเขาเป็นคนฮ่องกงเพื่อให้ดูดี แม้กระทั่งหลอกคนจีนด้วยกัน หลีเสี่ยงจิน ก็โดนหลอกให้มาเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเอาค่านายหน้า และโดนหลอกอีกหลายอย่างด้วยเขาเป็นคนซื่อ สุดท้ายทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เป็นทั้ง BED Freind และ Best Friend เพียงเพราะคนเหงาสองคนมาเจอกัน ความสับสนในเมืองใหญ่ และความจริงที่ว่าเขาทั้งสองเป็นคนแผ่นดินใหญ่เหมือนกัน สมัยนั้น เติ้ง ลี่ จวิน (Teresa Teng) เป็นนักร้องขวัญใจชาวจีน จนเป็นที่รู้กันว่า คนจีนอยู่ที่ไหน เพลงเติ้ง ลี่ จวิน ก็อยู่ที่นั่น เสียงเพลงของเธอจริงเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ของทั้งหลี่เสี่ยวจิน และ หลี่เฉียว สัมพันธ์ทางกายของพวกเขาก็เริ่มจากวันตรุษจีนที่พากันขายเทปเพลงของเติ้งลี่จิน แต่ขายไม่ได้ เพราะที่ฮ่องกงคนที่นี่คือคนอังกฤษ ถ้าใครฟังเพลงของเติ้งลี่จวิน ก็เหมือนประกาศให้โลกรู้ว่าตนคือคนจีน คงเหมือนบ้านเราที่เวลาเข้ากรุงก็ต้องฟังเพลงสตริง เพลงป๊อบ ชอบเพลงลูกทุ่งมากเท่าไหร่ก็ต้องแสร้งทำ ไม่ชอบ เพียงเพราะกลัวคนอื่นรู้ว่าเป็นคนบ้านนอก 



                         











ทั้งสองเป็นเพื่อนกินเพื่อนนอนกันมานาน จนวิกฤติเศรฐกิจที่ฮ่องกงสร้างปัญหา ฝ่ายหญิงต้องไปทำงานเป็นหมอนวดและเริ่มสับสนในชีวิต และทำตัวเหินห่าง สุดท้ายฝ่ายชายซึ่งมีแฟนรออยู่ที่จีนก็ตัดสินใจกลับจีน ส่วนฝ่ายหญิงก็ได้ดิบได้ดีมีแฟนเป็นมาเฟีย ร่ำรวยในฮ่องกง ชีวิตเหมือนจะจบลงแค่นั้นแต่โชคชะตาก็พาทั้งคู่มาพบกันอีกในวันแต่งงานของหลี่เสี่ยวจินที่ฮ่องกง ความรู้สึกเก่าก็เริ่มกลับมา จนสุดท้ายก็ต้านไม่อยู่ในวันที่เติ้งลี่จวิน ไปโปรโมทเพลง Goodbye My Love ที่ฮ่องกง เมื่อตัวเชื่อมสัมพันธ์ของพวกเขาเมื่อก่อนเก่ากลับมารื้อฟื้นความทรงจำในปัจจุบัน สุดท้ายจึงตระหนักได้ว่าพวกเขารักกันเกินกว่าที่จะจากกันไปอีกครั้ง ฝ่ายชายตัดสินใจลอกเลิกภรรยาและฝ่ายหญิงก็ตัดสินใจจะบอกเลิกสามี แต่สุดท้ายฟ้าก็ไม่เป็นใจทำให้ทั้งคู้ต้องพลัดพรากจากกันไปอีก หลี่เฉียวหนีตามสามีมาเฟียไปอเมริกาส่วนหลี่เสี่ยวจินก็ตามนายเก่าไปทำร้านอาหารที่นั่นเหมือนกัน

                       








คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน ในวันที่เติ้งลี่จวิน เสียชีวิต ปี 1995 ที่เชียงใหม่บ้านเรา ถือเป็นข่าวที่สะเทือนใจมากของคนจีน ข่าวถูกประโคมไปทั่วโลกและเติ้งลี่จวิน ก็เป็นตัวนำพามาเขาทั้งสองมาพบกันอีก นางเอกหยุดยืนนิ่งดูข่าวการเสียชีวิตที่เมืองไทยของเติ้งลี่จวิน ผ่านจอทีวีของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า พระเอกซึ่งกำลังเดินผ่านมาก็หยุดดูข่าวเช่นเดียวกัน และแล้วทั้งสองก็หันหน้ามาเจอกัน ภาพในอดีตหวนกลับมา จากปี 1996 วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ รวมเป็นเวลา 10 ปี ที่ฝ่าฟันความลำบาก ความวุ่นวาย สับสน มากด้วยกัน 10 ปีที่ความรู้สึกนั้นยังคงเดิม กับคนเดิม เพลงเดิมๆ และ ความเป็นเป็นเพื่อนกิน เพื่อนนอน ดังเดิม 10 ปีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า รักแท้..ไม่มีวันหมดอายุ "Comrades< Almost A Love Story"



                          

ภาพยนต์ถูกออกฉายในปี 1996 และถือเป็นหนังที่ครองใจคนจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เป็นอย่างมาก กวาดมาถึง 9 รางวัล ในเทศกาลภาพยนต์ฮ่องกง (Hongkong Directors Guild) ครั้งที่ 16 ได้แก่.. Best Picture / Best Director / Best Actress / Best Supporting Actor / Best Screenplay / Best Cinematography / Best Art Direction / Best Art Direction / Best Costume Design / Best Original Music Score

ถัดมาเพียงปีเดียว คือ 1997 อังกฤษก็ได้ประกาศคืนหมู่เกาะฮ่องกงคืนสู่อ้อมอกจีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม นับว่าเป็นปีทองของฮ่องกงเลยที่เดียว คนฮ่องกงก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนจีนอย่างเต็มตัว "ได้เวลาเปิดอกฟังเพลงของ เติ้งลี่จวิน แบบไม่อายกลั
วคนอื่นหาว่าเป็นคนจีนเสียที......

Sunday, July 7, 2013

เมื่อความทรงจำดีๆ...กลายเป็นความเจ็บปวด " My Life As A Dog"

My Life As A Dog (Mitt Liv Som Hund) เป็นหนังปี 1985 ซึ่งนับเวลาก็เกือบ 30 ปีแล้ว แต่ความประทับใจของหนังเรื่องนี้ เชื่อว่าหลายคนนั้นคงไม่ลืม 









เรื่องราวของหนังเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กชายวัย 12 คนหนึ่งซึ่งชื่อว่า "อิงม่าร์" (Ingmar) อิงม่าร์ อาศัยอยู่กับแม่และพี่ชาย ซึ่งดูมีความสุขดี มีแม่คอยอ่านหนังสือให้ฟัง และอิงม่าร์ก็คอยเล่าเรื่องต่างๆให้แม่ฟังอย่างสนุกสนาน อิงม่าร์มีหมาที่เขารักมากชื่อซิกเก้น ซึ่งเขาบอกว่ารักซิกเก้นเท่ากับรักแม่เลยทีเดียว ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อแม่ไม่สบาย จากที่เคยหัวเราะได้ตลอดเวลาอิงม่าร์เล่าอะไร กลับกลายเป็นโมโหง่าย ไม่เหมือนเก่า จมตัวเองอ่านหนังสือบนที่นอนทั้งวัน









เด็กน้อยและพี่ชายถูกส่งไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด โดยพี่ชายไปอยู่กับย่าและอิงม่าร์ไปอยู่กับลุง เนื่องด้วยแม่ป่วยหนักและต้องพักผ่อน ด้วยความคิดแบบเด็กๆ ไร้เดียงสา ใสซื่อ อิงม่าร์น้อยใจและคิดว่าชีวิตเขาตอนนี้คล้ายๆกับไลก้า สุนัขตัวแรกที่ถูกส่งไปกับยายอวกาศสปุทนิค โดยที่ไม่มีใครถามความสมัครใจของมันเลยว่ามันอยากไปหรือไม่ สุดท้ายมันก็ต้องตายเพราะอดอาหาร อิงม่าร์คิดว่าแม่ไม่รักเขาแล้วเลยส่งเขาไปอยู่ที่อื่น เหมือนคนรัสเซียทำกับไลก้า วัยเยาว์อย่างอิงม่าร์ไหนหรือจะรู้เหตุผลที่แท้จริง












เด็กชายอิงม่าร์ถูกส่งขึ้นรถไฟลำพังไปอีกเมืองซึ่งมีคุณลุงคุณป้าคอยต้อนรับอยู่ ด้วยวิถีความเป็นอยู่แบบชนบท เรียบง่าย อิงม่าร์ได้เรียนรู้ชีวิตและรู้จักกับเพื่อนๆมากมาย จนเหมือนว่ามันช่างเป็นช่วงเวลาที่ดีน่าจดจำเหลือเกิน คุณลุงพาหนุ่มน้อยไปทำงานที่โรงงานแก้วด้วย ซึ่งที่นี่อิงม่าร์ได้รู้จักกับเบริท สาวสวยรุ่นน้อง (แม่) ที่อิงม่าร์บอกว่ารัก เบริทมักชอบพูดคุยกับอิงม่าร์ สร้างความอบอุ่นใจให้กับคนที่ต้องห่างแม่มาอย่างเขามากโข เบริทพาอิงม่าร์ไปเป็นเพื่อนด้วยทุกครั้งที่ไปเป็นแบบ (นู้ด) ให้ช่างภาพคนหนึ่ง และด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก อิงม่าร์ถึงขนากปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อแอบดูเบริทแก้ผ้าเป็นแบบ จนตกลงมากระจกบาดตัวเป็นแผลไปหมด แต่อิงม่าร์บอกว่า "คุ้ม" 







ช่วงเวลาดีๆมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้ก็แต่ความทรงจำดีๆ เมื่อแม่อาการดีขึ้นอิงม่าร์จึงต้องกลับบ้าน ถึงแม้เขามีความสุขกับผู้คนที่นี่เท่าไหร่ แต่อิงม่าร์ก็สุขกว่าที่จะได้กลับไปหาแม่ ไปฟังแม่อ่านนิทานให้ฟัง กลับไปหาหมาที่เขารัก "ซิกเก้น" และกลับไปที่ที่เรียกว่า "บ้าน"










อิงม่าร์กลับบ้านได้ไม่นาน แม่เขาก็อาการป่วยกำเริบ ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และอีกครั้งที่อิงม่าร์และพี่ชายต้องกลายเป็นเหมือนสุนัขไลก้าอีกรอบ แต่คราวนี้เขาสองคนไปอยู่ด้วยกันกับลุงอีกคนหนึ่งซึ่งคุณป้า ภรรยาของลุงไม่ค่อยพอใจที่ลุงเอาหลานมาอยู่ด้วย อย่างที่อิงม่าร์เคยพูดว่าเขารักซิกเก้นเท่าแม่ อิงม่าร์บอกลุงว่าเขาจะเอาซิกเก้นมาอยู่ด้วย เพราะซิกเก้นถือเป็นสมาชิกของครอบครัวเขา ลุงไม่อนุญาติแต่บอกว่าจะอาสาเอาไปฝากเลี้ยงไว้อีกที่หนึ่งให้ 















อยู่มาวันหนึ่ง ลุงบอกว่าจะพาอิงม่าร์และพี่ไปเยี่ยมแม่ โดยที่สองหนุ่มไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาทั้งสองได้เจอแม่ อิงม่าร์เดินเข้าไปหาแม่โดยไม่พูดจา มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่บอกเล่าความรู้สึกของเขา ก่อนออกจากห้องเยี่ยมแม่ อิงม่าร์วิ่งเข้าไปถามแม่ว่า อยากได้อะไรเป็นของขวัญวันคริสมาสต์ เขามีตังค์เก็บจากากรทำงานที่โรงงานแก้ว เขาจะซื้อทุกอย่างที่แม่อยากได้ให้เป็นของขวัญ แม่ถึงกับน้ำตาซึมและบอกว่า "ลูกรู้ว่าแม่อยากได้อะไร" 








ด้วยความไร้เดียงสา อิงม่าร์ได้ขอร้องให้พี่ชายจ่ายค่าเครื่องปิ้งขนมปังกับเขาคนละครึ่งเพื่อซื้อเป็นของขวัญให้แม่ พี่ชายไม่พูดได้แต่เงียบเพราะความจริงบางอย่างที่เขาเก็บไว้ อิงม่าร์รบเร้าจนพี่ชายทนไม่ไหว เผลอหลุดปากออกมาว่า "แม่กำลังจะตาย ไม่รู้เหรอ" อิงม่าร์โกรธมาก เขาไม่คิดว่าที่พี่ชายพูดคือเรื่องจริง เขาคิดเพียงแค่ว่าพี่ชายขี้เหนียวจึงหาเรื่องกลบเกลื่อน อิงม่าร์ไปหาซื้อเคื่รองปิ้งขนมปังตามที่ตั้งใจเองกับเพื่อนคนหนึ่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่าแม่คงไม่มีโอกาสได้ใช้ อิงม่าร์ได้รับข่าวร้ายจากลุงหลังจากที่เขากำลังจะนำของขวัญคริสมาสต์ที่เขาตั้งใจซื้อไปให้แม่ ต่อแต่นี้ "แม่" จะมีแต่ในความทรงจำเท่านั้น ไม่มีอีกแล้วแม่ที่จะอ่านนิทานให้เขาฟัง แม่ที่คอยถ่ายภาพให้เขา แม่ที่คอยฟังทุกอย่างที่เขาเล่า "แม่..ต่อแต่นี้เป็นความทรงจำดีๆ ที่เจ็บปวดเหลือเกิน สำหรับเด็กชายอายุ 12 " 






LIFE IS HARD SOMETIMES, IT'S NOT EASY TO BE LEFT ALONE              
                                                        - MY LIFE AS A DOG -